200–225 รายถูกสังหาร (ข้อมูลกระทรวงบริหารภายใน)
[5]304 รายถูกสังหาร (ข้อมูลแอมเนสตี อินเตอร์แนชั่นแนล)
[6]160 รายถูกสังหาร (ข้อมูล Iranwire)
[7]รวม 1,500 รายถูกสังหาร (ข้อมูลรอยเตอส์ และ PMOI/MEK)
[8] [9]การประท้วงในประเทศอิหร่าน พ.ศ. 2562–2563 (
เปอร์เซีย: اعتراضات سراسری ۱۳۹۸ ایران) เป็นกลุ่มการประท้วงของพลเมืองทั่ว
ประเทศอิหร่าน แรกเริ่มเกิดขึ้นจากการเพิ่มราคาค่าเชื้อเพลิงขึ้น 50%–200%
[13][14][15][16] และ (ในบางพื้นที่) นำไปสู่การเรียกร้องการล้มเลิก
รัฐบาลและ
ผู้นำสูงสุด แอลี ฆอเมเนอี[17][18]การประท้วงแรกเริ่มนั้นเป็นการชุมนุมโดยสันติในเย็นวันที่ 15 พฤศจิกายน 2019 แต่ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ขยายออกไปยังเมืองต่าง ๆ 21 เมือง มีวิดีโอต่าง ๆ ถูกอัปโหลดขึ้นออนไลน์มากมาย
[19][20][21][22][23] ในท้ายที่สุดการประท้วงนี้ได้กลายเป็นการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลที่รุนแรงและร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ประเทศอิหร่านเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐอิสลามเมื่อปี 1979
[24][25][26]รัฐบาลได้มีการตัดอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของข้อมูลการชุมนุมและยอดผู้เสียชีวิตบนอินเตอร์เน็ต ในท้ายที่สุดได้นำไปสู่การตัดอินเตอร์เน็ตเกือบหมดเป็นเวลาเกือบหกวัน
[27][28][29][30]ข้อมูลจาก
แอมเนสตี อินเตอร์แนชันแนลระบุว่ารัฐบาลอิหร่านมีการสั่งให้ยิงผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากบนหลังคา เฮลิคอปเตอร์ ที่ระดับใกล้เคียงกับระดับของการยิงปืนแมชชีน (machine gun fire) เพื่อสงบการชุมนุม นอกจากนี้
นิวยอร์กไทมส์ ระบุว่าได้มีการเคลื่อนย้ายศพผู้ชุมนุมที่ถูกสังหารออกไปไว้ในที่ห่างไกลเพื่อปกปิดปริมาณผู้เสียชีวิตแท้จริงจากการโจมตีของรัฐบาลขณะชุมนุม แอมเนสตีระบุอีกว่าความพยายามเพื่อปกปิดความรุนแรงของรัฐบาลยังรวมถึงข่มขู่ครอบครัวและญาติผู้เสียชีวิตไม่ให้จัดพิธีศพหรือพูดคุยกับสื่อ
[26][31]มีผู้ประท้วง
ชาวอิหร่านมากถึง 1,500 รายที่ถูกสังหาร
[8][32][33] การโจมตีผู้ชุมนุมได้นำไปสู่การที่ผู้ชุมนุมบุกทำลายธนาคารรัฐ 731 แห่ง รวมถึงธนาคารกลางอิหร่าน, ฐานทัพของรัฐบาล 50 แห่ง, ศูนย์ศาสนาอิสลาม 9 แห่ง, การฉีกทำลายป้ายประกาศ
ต่อต้านอเมริกา และการทำลายภาพ โปสเตอร์ และรูปปั้นของผู้นำสูงสุด
แอลี ฆอเมเนอี และอดีตผู้นำสูงสุด
โฆเมเนอี